คนที่รักกการทำเบเกอรี่ทั้งมือใหม่และมือเก่าที่ทำเก่งอยู่แล้ว เราเชื่อว่าเมนูที่คุณทำบ่อยน่าจะเป็นประเภทขนมเค้กต่างๆ และขนมเค้ก เราเชื่อว่าเป็นหนึ่งในขนมที่สาวๆ หลายคนก็โปรดปรานมากเป็นอันดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ค่ะ ซึ่งเป็นขนมหวานเบเกอรี่ ที่สามารถทำได้หลายรูปแบบ หลายรสชาติตามความชอบเลย แถมยังหาซื้อทานได้ง่ายๆ อีกด้วย และแน่นอนว่าด้วยความที่เจ้าขนมเค้กนั้นเป็นขนมที่มีมากมาย หลากๆหลายๆและแสนอร่อยแบบนี้ เราจะพลาดไปไม่ได้ ที่รู้จักเหล่าขนมเค้กต่างๆ ว่ามีกี่แบบ แบบไหนบ้าง น่าตาเป็นอย่างไร และลักษณะแต่ละอย่างนั้นแตกต่างกันอย่างไร แน่นอนว่าสำหรับคนรักการทานเค้กแล้วจะต้องอยากรู้เลย
วันนี้เราจะมาอธิบายกันถึงประเภทของเนื้อเค้กหลักๆ ที่เป็นพื้นฐานของการทำเค้กเมนูต่างๆค่ะ เมื่อเรารู้จักประเภทของเนื้อเค้กหลัก แต่ละประเภทแล้ว เราก็จะสามารถทำเค้กได้มากมายหลายสูตรเลยค่ะ ต่อไปก่อนการทำเค้กแต่ละเมนูนั้นเพียงแค่เราอ่านสูตรและขั้นตอนการทำเราก็จะสามารถทราบได้ทันทีเลยค่ะว่าสูตรนี้เป็นเค้กประเภทใด เมื่อทำบ่อยๆ เราก็จะคล่องขึ้น ต่อไปพอบอกว่าสูตรนั้นสูตรนี้เป็นเค้กประเภทใด เราก็จะทราบได้เองโดยอัตโนมัติเลยค่ะว่าขั้นตอนการทำเป็นอย่างไรและมีส่วนผสมอะไรบ้าง สูตรนี่แทบไม่ต้องดูเลยค่ะ
ประเภทของเนื้อเค้ก
หากแบ่งประเภทของเค้กตามเนื้อเค้กนั้น จะสามารถแบ่งเนื้อเค้กออกได้เป็น 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้
- เค้กเนย หรือบัตเตอร์เค้ก (Butter Cake)
เป็นเค้กที่มีส่วนผสมของเนยเป็นหลัก 3 ประเภท เพราะส่วนผสมของขนมจะหนักที่สุดเนื่องจากมีส่วนผสมของเนยค่อนข้างมาก ระหว่างผสมให้เข้ากันจึงเกิดฟองอากาศในเนื้อขนมน้อย จึงทำให้ได้เนื้อเค้กที่อบออกมาแล้วเนื้อละเอียดแน่น เหมาะกับการทำเค้กเนยสด เค้กหินอ่อน เค้กช็อคโกแลต และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กมีเนื้อแน่นและมีน้ำหนักมากกว่าเค้กชนิดอื่น จึงทำให้เค้กชนิดนี้เหมาะกับการนำไปทำเป็นเนื้อเค้กที่ต้องรับน้ำหนักของส่วนผสมอย่างอื่นที่ใส่ในเนื้อเค้ก เช่น เค้กผลไม้ ( fruit cake ) ที่มีส่วนผสมของผลไม้แห้งชิ้นเล็กๆ อย่างลูกเกด อินทผลัม เชอรี่ ฯลฯ ในเนื้อเค้กค่อนข้างเยอะ หากเราใส่ส่วนผสมเหล่านี้ในเค้กที่มีเนื้อค่อนข้างเบา จะทำให้เนื้อเค้กนั้นไม่สามารถรับน้ำหนักของส่วนผสมที่เราใส่เข้าไปได้ และทำให้ส่วนผสมจมลงไปกองอยู่ที่ก้นพิมพ์ ไม่ผสมรวมกับเนื้อเค้กตามต้องการ นอกจากนั้นการที่มีน้ำหนักของส่วนผสมอื่นในเนื้อเค้กไปกดตัวเนื้อเค้กเอาไว้ ยังทำให้เนื้อเค้กที่เบานั้นไม่ขึ้นฟูตอนอบเท่าที่ควรอีกด้วย โดยทั่วไปแล้วเค้กเนยหรือบัตเตอร์เค้กจะมีขั้นตอนการทำคือ เริ่มจากตีเนยกับน้ำตาลจนขึ้นฟู แล้วจึงใส่ไข่ลงไปตี ตามด้วยใส่แป้งแล้วส่วนผสมที่เหลือลงไป
- เค้กสปันจ์ ( Sponge Cake )
สปันจ์เค้ก มีส่วนผสมของไข่เป็นหลัก มีเนื้อเค้กที่ฟูเบาด้วยการขยายตัวของไข่ที่ตีจนขึ้นฟู เป็นหลัก บางคนจึงเรียกเนื้อเค้กชนิดนี้ว่า “เค้กไข่” สปันจ์เค้กเป็นเนื้อเค้กที่เบากว่าบัตเตอร์เค้กแต่หนักกว่าชิฟฟอนเค้ก ส่วนใหญ่สปันจ์เค้กนิยมนำมาทำเป็นพวกโรลช็อคโกแลตหรือแยมโรลต่างๆ รวมถึงเค้กที่มีการแต่งหน้าเค้ก แต่อยากให้เป็นเค้กที่ทานแล้วไม่รู้สึกหนักเกินไป
ขั้นตอนการทำสปันจ์เค้กหลักๆคือ ตีไข่แดงพร้อมไข่ขาวกับน้ำตาลจนขึ้นฟู (ไข่ที่ใช้ต้อง เป็นไข่อุณหภูมิห้องและต้องเลือกไข่ที่สดใหม่ เพราะความสดของไข่มีผลต่อรสชาติของเค้กนะคะ) จากนั้นจึงเติมส่วนของแป้งลงไป ตามด้วยเนยละลาย(ซึ่งมักจะใช้ในปริมาณไม่มากเมื่อเทียบกับบัตเตอร์เค้ก) ข้อควรระวังสำหรับเค้กชนิดนี้คือ ต้องนำเข้าอบทันทีหลังจากที่ตีส่วนผสมทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าทิ้งไว้นานฟองอากาศจะค่อยๆน้อยลง เมื่ออบแล้วเนื้อเค้กก็จะยุบตัวไม่ฟูเท่าที่ควร
เค้กอีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มเนื้อเค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลักเหมือนกับสปันจ์เค้ก คือแองเจิลฟู้ดเค้ก (angle food cake) หรือเค้กไข่ขาว วิธีผสมหลักๆคือ นำไข่ขาวกับน้ำตาลส่วนหนึ่งมาตีให้ขึ้นฟอง จนเซ็ตตัวเป็นมันเงา และมักใส่ครีมออฟทาร์ทาร์เพื่อช่วยให้ฟองไข่ขาวอยู่ตัวไม่เหลว และทำให้เค้กเมื่ออบแล้วมีเนื้อขาวละเอียด ส่วนน้ำตาลอีกส่วนหนึ่งนำมาผสมกับส่วนผสมแห้งอื่นๆ แล้วจึงผสมลงไปในฟองไข่ขาวที่ตีแล้วคนเบาๆให้เข้ากัน เค้กชนิดนี้ต้องใช้พิมพ์ที่มีปล่องตรงกลาง เพื่อให้หลังจากที่อบเสร็จแล้วสามารถคว่ำพิมพ์ลงบนปากขวด เพื่อพักให้เค้กเย็นสนิทได้
- เค้กชิฟฟอน ( Chiffon Cake )
เค้กชนิดนี้เป็นเค้กที่รวมเอาลักษณะฟูเบาของสปันจ์เค้กและรสนุ่มหอมมันจากเค้กเนยเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นเค้กเนื้อละเอียดและนุ่มกำลังพอดี ชิฟฟอนเป็นเนื้อเค้กที่เบาที่สุด ส่วนใหญ่ถ้ามีการแต่งหน้าก็จะแต่งหน้าให้เบาๆ เนื่องจากความที่เนื้อเค้กชิฟฟอนนั้นเบามากจึงไม่สามารถรับน้ำหนักของหน้าที่มากเกินไปได้
ชิฟฟอนเป็นเค้กที่ใช้น้ำมันพืชเป็นส่วนผสมแทนเนยหรือมาร์การีน โดยขั้นตอนการทำชิฟฟอนเค้กนั้นจะแตกต่างจากเค้กชนิดอื่นๆ คือ จะแยกไข่แดงกับไข่ขาวเพื่อใช้ทำในคนละขั้นตอน มักเริ่มจากการผสมไข่แดง กับพวกแป้ง น้ำตาลส่วนหนึ่ง ผงฟู เกลือ น้ำมันพืช และอื่นๆผสมจนเข้ากัน จากนั้นจะตีไข่ขาวกับน้ำตาลอีกส่วนหนึ่งจนฟูตั้งยอด ซึ่งส่วนนี้จะเรียกว่า เมอร์แรงค์ (Meringue) แล้วสุดท้ายจึงค่อยๆเทส่วนผสมของไข่แดงลงในไข่ขาวที่ตีจนเป็นเมอแรงค์นี้ คนตะล่อมเบาๆจนเข้ากันดี ขั้นตอนนี้ต้องระมัดระวังอย่างมาก ควรคนตะล่อมด้วยพายยางอย่างเบามือ เพื่อไม่ให้ส่วนผสมไข่ขาวที่ฟูตั้งยอดแล้วนั้นยุบตัว ไม่ควรใช้เครื่องผสมตี หรือหากใช้เครื่องผสมก็ควรใช้ความเร็วต่ำสุด
นอกจากเนื้อเค้กลักษณะทั่วไปที่มักพบบ่อยๆ ทั้ง 3 ประเภท ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นนั้น ยังมีเนื้อ เค้กลักษณะเฉพาะอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเบเกอรี่เช่นกัน นั่นก็คือ ชีสเค้ก ซึ่งแบ่งออกเป็นสองแบบคือ
– ชีสเค้กแบบอบ จะมีเนื้อเค้กที่เนียนแน่น เช่น พวก นิวยอร์กชีสเค้ก บราวนี่ชีสเค้ก ชีสเค้กซูเฟลเป็นต้น ซึ่งชีสเค้กชนิดนี้มีส่วนผสมหลัก คือ ครีมชีส ไข่ไก่ น้ำตาลทราย แป้งข้าโพด วิปปิ้งครีม และส่วนผสมอื่นๆเพื่อเพิ่มรสชาติ เช่น ช็อคโกแลต เป็นต้น
– ชีสเค้กแบบไม่อบหรือแบบแช่เย็น วิธีทำจะคล้ายกับของหวานประเภทมูส ส่วนผสมหลักคือ ครีมชีส ไข่แดง และ เจลาติน โดยเฉพาะเจลาตินนั้นสำคัญมากสำหรับชีสเค้กแบบไม่อบ เพราะเจลาตินเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ชีสเค้กชนิดนี้อยู่ตัวได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ควรใส่ในปริมาณที่พอดี เพราะถ้าใส่มากไปอาจทำให้เนื้อเค้กหนืดไม่อร่อยได้
เป็นอย่างไรล่ะคะ สำหรับสาระน่ารู้ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ใครที่เป็นเหล่าเค้กเลิฟเวอร์ทั้งหลายเคยทานกันครบ หมดทุกประเภทแล้วหรือยัง ถ้ายังแล้วล่ะก็ อย่าลืมไปหาซื้อมาทานกันดูนะคะ เผื่อว่าทุกคนอาจจะได้เมนูเบเกอรี่สุดโปรดเพิ่มมาอีกซักสองสามเมนูมาก็เป็นได้ค่ะ และแน่นอนว่าความรู้ที่เรานำมาฝากทุกคนในวันนี้อย่างไรก็ต้องมีประโยชน์ต่อใครที่อาจจะกำลังประกอบกิจการเกี่ยวกับขนมเบเกอรี่นี่ก็เป็นได้ค่ะ เพราะเมื่อรู้เยอะแล้วก็จะสามารถรังสรรค์เมนูใหม่ๆ ออกมาทำขายให้ได้กำไรก็ยังได้ค่ะ
https://thaigoodherbal.com
|